วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2557

พระเจ้าสร้างพ่อ

เมื่อพระเจ้าลงมือสร้างพ่อ พระองค์เริ่มต้นด้วยโครงร่างสูงใหญ่  นางฟ้าซึ่งเฝ้าดูอยู่ใกล้ ๆ ทักขึ้นว่า   “นี่หรือที่พระองค์จะให้เป็นพ่อ ก็ในเมื่อพระองค์จะสร้างลูกตัวเล็ก ๆ แล้วไฉนจึงสร้างพ่อตัวใหญ่นักเล่า เขาคงต้องคุกเข่าลงเพื่อเล่นลูกหินกับลูก ต้องโน้มตัวลงเวลาจะวางลูกลงในเปลและต้องก้มศีรษะลงเวลาต้องการจะจูบแก้มลูกเป็นแน่”
พระเจ้าหัวเราะและบอกว่า
“ก็อาจจะจริงอย่างที่เจ้าว่า แต่ถ้าข้าสร้างเขาให้ตัวเล็กเท่าลูกของเขา แล้วเด็กจะเงยหน้าขึ้นมองไปที่ใครกันเล่า”
เมื่อพระองค์สร้างมือให้กับพ่อ มือทั้งสองนั้นใหญ่โตเทอะทะ  นางฟ้าส่ายหน้าอย่างระอาและท้วงขึ้นว่า
“มือใหญ่อย่างนี้คงกลัดผ้าอ้อมให้ลูกไม่ได้ ถักเปียหรือบ่งเสี้ยนที่ตำมือลูกก็คงไม่ได้เช่นกัน” 
พระเจ้าหัวเราและบอกว่า  “ข้ารู้  แต่มันก็ใหญ่พอที่จะรองรับของทุกอย่างที่ลูกล้วงออกมาจากกระเป๋ากางเกงได้หมด แต่ยังคงเล็กพอจะประคองใบหน้าน้อย ๆของลูกเอาไว้ระหว่างมือทั้งสองข้างนั้นได้”
แล้วพระองค์ทรงปั้นขายาวเก้งก้างกับไหล่อันหนาให้กับพ่อ
“พระองค์รู้หรือเปล่าว่าพ่อของพระองค์ไม่มีตัก”
พระเจ้าบอกว่า “แม่ซิถึงจะมีตัก ส่วนพ่อต้องการไหล่แข็งแรงเอาไว้เข็นรถให้ลูกนั่ง ประคองจักรยานที่ลูกหัดขี่ และเอาไว้ให้ศีรษะลูกซบระหว่างเดินกลับจากงานสวนสนุก”
พระองค์กำลังสร้างเท้าคู่ใหญ่ที่สุดเท่าที่ใคร ๆ จะเคยเห็นให้กับพ่อ  เมื่อนางฟ้าสุดแสนจะทานทนได้อีกต่อไป
“นี่มันอะไรกัน” นางฟ้าร้องเสียงดัง “พระองค์คิดบ้างหรือเปล่าว่าเจ้าเท้าเทอะทะนั่นจะยอมก้าวลงจากเตียงนอนตอนเช้ามืดที่ลูกร้องไห้ หรือไม่อย่างนั้นเวลามันเดินก้าวเข้าไปในงานวันเกิด มันคงได้ไปเตะโดนเอาเด็ก ๆ ในงานเข้าสัก ๒-๓ คนหรอก”
พระเจ้ายิ้มด้วยความเยือกเย็นและบอกว่า
“มันต้องใช้ได้ซิ แล้วเจ้าจะได้เห็น  มันใช้แทนม้าให้ลูกขี่ได้ยามลูกงอแง และจะเป็นเจ้าของรองเท้าคู่ใหญ่ท้าทายให้ลูกอยากเอาเท้าน้อย ๆ ไปลองทาบดูว่า เมื่อไหร่จะเติบโตพอใส่ได้บ้าง”
พระองค์ทำงานตลอดทั้งคืน มอบคำพูดเพียงน้อยคำให้กับพ่อ ทว่าหนักแน่นน่านับถือ มอบดวงตาที่มองเห็นทุกสรรพสิ่ง ทว่าคงเยือกเย็นและอดทน ในที่สุด หลังจากใคร่ครวญแล้วใคร่ครวญอีก 
พระองค์เติมหยดน้ำตาให้กับพ่อด้วย แล้วพระเจ้าหันหน้าไปทางนางฟ้า และพูดว่า  “เอาละ  เจ้าเห็นหรือยังเล่าว่า เขาก็มีความรักมอบให้ลูกมากเท่ากับแม่เหมือนกัน”
นางฟ้านิ่งและไม่พูดอะไรสักคำ
 
ขอขอบคุณ www.gotoknow.org

คนที่มองไม่เห็นความผิดของตน

“เข้มงวดต่อคนอื่น ปล่อยปละต่อตัวเอง” เป็นโรคประจำตัวของคนทั้งหลาย  ในขณะที่เราวิจารณ์คนอื่นนั้น มักจะเห็นแต่ความผิดของคนอื่น แต่กลับมองไม่เห็นว่าตนกำลังทำความผิดในแบบเดียวกัน
มีพระอยู่ ๔ รูป ร่วมกันฝึก “การเข้าสมาธิเงียบ” ในแบบของเซน
ใน ๔ รูปนั้น มีอยู่ ๓ รูปเป็นพระอาวุโสแก่พรรษา  มีเพียงรูปเดียวที่อ่อนทั้งอาวุโสและพรรษา  เนื่องจากการฝึกจำเป็นต้องจุดตะเกียง  เพราะฉะนั้นหน้าที่การดูแลตะเกียงจึงมอบให้พระที่อ่อนพรรษากว่าเป็นผู้รับผิดชอบ
“การฝึกสมาธิเงียบ” เริ่มต้นขึ้นแล้ว พระทั้ง ๔ รูปนั่งขัดสมาธิล้อมรอบอยู่กับตะเกียงดวงนั้น  ดำเนินการฝึกอย่างเคร่งครัด เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง พระทั้ง ๔ รูป มิได้ปริปากพูดอะไรเลย เนื่องจากมันเป็น “การฝึกสมาธิเงียบ” จึงไม่มีใครเอ่ยปากพูดเลยสักรูปเดียว  ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา
แต่น้ำมันในตะเกียงน้อยลงทุกที ดูท่าจะแห้งไปในไม่ช้า พระรูปที่รับผิดชอบดูแลตะเกียง เห็นเช่นนั้นก็ร้อนใจ ในตอนนี้เอง ก็มีลมโชยมากระโชกหนึ่ง  ไฟในตะเกียงก็ถูกพัดจนริบหรี่ลง เกือบจะดับมิดับแหล่
พระรูปที่ดูแลตะเกียงอดรนทนไม่ไหว ตะโกนขึ้นว่า “แย่แล้ว  ตะเกียงดับแล้ว”
พระอื่น ๆ อีก ๓ รูป เดิมทีก็นั่งหลับตาขัดสมาธิ ไม่มีใครพูดอะไรเลย เมื่อได้ยินพระรูปนั้นตะโกนเสียงหลงดังนั้น  พระรูปที่นั่งถัดไปก็ลืมตาขึ้นพร้อมกับตำหนิว่า “ร้องเอะอะไปทำไม เรากำลังฝึกสมาธิเงียบอยู่มิใช่หรือ ร้องแรกแหกกระเชอไปได้ เสียสมาธิหมด” พระรูปที่นั่งถัดไปอีกรูปหนึ่งได้ยินเข้าก็บันดาลโทสะ เอ็ดพระรูปที่เอ๋ยปากตำหนิว่า “คุณก็ส่งเสียงเอะอะอยู่เหมือนกันไม่ใช่หรือแย่จริง ๆ”
ส่วนพระอีกรูปหนึ่งซึ่งมีอาวุโสสูงกว่าเพื่อน นั่งเงียบอยู่ตลอดเวลาที่พระ ๓ รูปส่งเสียงเอะอะกันอยู่ แต่ผ่านไปสักครู่ พระรูปนั้นก็ลืมตามองพระทั้ง ๓ รูป ด้วยความภูมิใจว่า “มีแต่ผมเท่านั้นที่ไม่ได้พูด”
พระ ๔ รูป ซึ่งฝึกสมาธิเงียบในแบบเซนกันอยู่ ต่างก็เอ่ยปากพูดกันหมดเพราะเรื่องตะเกียงดวงเดียว  ที่น่าหัวร่อก็คือ พระอาวุโส ๓ รูป ในขณะที่ตำหนิคนอื่นว่าส่งเสียงพูดจาให้เสียสมาธินั้น ล้วนแต่ก็ไม่รู้ตัวว่า ตนก็กระทำผิดที่ “เอ่ยปากพูด” เหมือนกัน

ขอขอบคุณ หนังสือปรัชญาของผู้สู้ชีวิต กว้อไท่ เขียน  บุญศักดิ์ แสงระวี แปล

เก็บคำว่า "รัก" ไว้ในลิ้นชัก

ชักคำว่า “ช่วยเหลือ” มาใช้ก่อน 
กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว ณ ตำบลเล็ก ๆ ในเขตชานเมืองหนึ่งมีบ้าน ๒ หลัง ที่อยู่ติดกัน เจ้าของบ้าน ชื่อ “จิม” และ “จอร์จ” ทั้งสองมิได้เป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันเลย  ต่างทำตัวเหมือนคนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน และก็ไม่มีใครจำได้ว่าทำไมจึงมึนตึงกันเช่นนั้น ทั้งสองครอบครัวจึงอยู่กัน โดยมีสงครามน้ำลายกันอยู่เป็นนิจ หรือไม่ก็จะไม่พูดกันเลย  แม้แต่ตอนที่ทั้งคู่เข็นรถตัดหญ้าสนามหลังบ้านไปเคียงข้างกัน ขนาดล้อเครื่องตัดหญ้าแทบจะเสียดสีกันตรงเส้นแบ่งแดน  ก็ไม่มีคำพูดออกมาจากฝ่ายใดแม้แต่แอะเดีย
และแล้ว ในฤดูร้อนของปีหนึ่ง  จอร์จกับภรรยาของเขาเดินทางไปพักร้อนเป็นเวลา ๒ สัปดาห์ ในตอนแรก ทั้งจิมและภรรยาของเขาไม่ได้สังเกตว่าคู่อริไม่อยู่บ้าน  ก็จะต้องรู้ทำไม  ในเมื่อต่างไม่สนใจกันอยู่แล้ว  ทั้งสองฝ่ายไม่เคยที่จะวิสาสะกันเลย  นอกเสียจากว่าอีกฝ่ายมีเรื่องที่จะต่อว่าอีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้น
แต่เย็นวันหนึ่ง  หลังจากที่จิม ตัดหญ้าที่สนามตนเองเสร็จแล้ว  เขาสังเกตเห็นว่า หญ้าของสนามเพื่อบ้านขึ้นรกผิดปกติ  โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับสนามของเขาที่ตัดเรียบร้อยแล้ว  ซึ่งใครก็ตามที่ผ่านไปมาก็จะต้องสะดุดตาและรู้ว่าไม่มีคนอยู่ในบ้านนี้  จิมคิดเช่นนั้นและคิดต่อไปว่ามันจะเป็นสัญญาณเชิญชวนขโมยได้เป็นอย่างดี  ทันใดนั้น  ความคิดอย่างหนึ่ง แวบ! เข้ามาในสมองของจิมว่า ไม่จำเป็นต้องถึงขนาด “รัก” เพื่อนบ้านก็ได้ แค่ “ช่วย” เขาหน่อยก็พอ
“ผมมองดูหญ้าที่สนามของจอร์จอีกครั้งหนึ่ง” จิมเล่า “ใจผมคัดค้านความคิดที่จะช่วยเหลือคนที่ผมไม่ชอบขี้หน้าเอามาก ๆ แต่ทั้งที่ใช้ความพยายามทักอย่างที่จะสลัดความคิดที่จะช่วยให้หลุดไปจากสมอง  แต่มันยังดื้ออยู่ ดื้ออยู่ มันไม่ยอมหนีไปไหน  จนกระทั้งเช้าวันรุ่งขึ้น เป็นวันเสาร์ ผมก็ออกไปตัดหญ้าในสนามให้เขาเสียเรี่ยมเร้เรไร”
“เย็นวันอาทิตย์ จอร์จและภรรยา กลับมาถึงบ้าน เพียงครู่เดียวที่เขาเข้าบ้าน ผมเห็นเขาเดินออกไปตามถนน และเที่ยวเคาะประตูบ้านโน้นประตูบ้านนี้ทุกบ้านในช่วงถนนที่เราอยู่ ในที่สุดเขามาเคาะประตูบ้านผม  พอผมเปิดประตูก็เห็นเขายืนจ้องหน้าผมด้วยความรู้สึกงุนงงและประหลาดใจบนสีหน้าเขา”
“จิม  คุณตัดหญ้าที่สนามบ้านผมหรือ?”  ในที่สุดเขาก็เอ่ยปากถาม เป็นครั้งแรกในระยะเวลานานมากที่เขาเรียกชื่อเล่นผม “ผมถามทุกคนในแถบนี้แล้ว ไม่มีใครตัดหญ้าให้ผม  แจ๊คบอกว่าคุณเป็นคนทำใช่ไหม?”   “ใช่จอร์จ  ผมตัด” ผมตอบ แต่น้ำเสียงเกือบจะเป็นการชวนวิวาทมากกว่า “ขอบคุณ” เขาตอบห้วน ๆ แล้วหันหลังกลับไปทันที
หลังจากนั้นความมึนตึงของจอร์จกับจิมก็สลายไป  อ้อ ! แต่ทั้งสองยังไม่ถึงขนาดจะกอดคอกันดูบอลดื่มเบียร์ร่วมกัน และภรรยาของทั้งคู่ก็ยังไม่ถึงขั้นจะวิ่งไปหาเพื่อยืมน้ำตาลหรือชวนกันซุบซิบเรื่องของผู้หญิง  แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ก้าวหน้าไปในทางที่ดี  อย่างน้อยก็ยังมีการยิ้มให้กันและกันขณะที่เดินสวนกัน  นาน ๆ ครั้งก็กล่าวสวัสดีทักทายกันบ้าง
จะให้รักเพื่อนบ้านน่ะเหรอ?  อาจจะ.... แต่แค่เปลี่ยนคำว่า “รัก” เป็น “ช่วยเหลือ” ก็พอแล้ว

ขอขอบคุณ หนังสือ สร้างพลังสู่ความสำเร็จ