วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2557

คนที่มองไม่เห็นความผิดของตน

“เข้มงวดต่อคนอื่น ปล่อยปละต่อตัวเอง” เป็นโรคประจำตัวของคนทั้งหลาย  ในขณะที่เราวิจารณ์คนอื่นนั้น มักจะเห็นแต่ความผิดของคนอื่น แต่กลับมองไม่เห็นว่าตนกำลังทำความผิดในแบบเดียวกัน
มีพระอยู่ ๔ รูป ร่วมกันฝึก “การเข้าสมาธิเงียบ” ในแบบของเซน
ใน ๔ รูปนั้น มีอยู่ ๓ รูปเป็นพระอาวุโสแก่พรรษา  มีเพียงรูปเดียวที่อ่อนทั้งอาวุโสและพรรษา  เนื่องจากการฝึกจำเป็นต้องจุดตะเกียง  เพราะฉะนั้นหน้าที่การดูแลตะเกียงจึงมอบให้พระที่อ่อนพรรษากว่าเป็นผู้รับผิดชอบ
“การฝึกสมาธิเงียบ” เริ่มต้นขึ้นแล้ว พระทั้ง ๔ รูปนั่งขัดสมาธิล้อมรอบอยู่กับตะเกียงดวงนั้น  ดำเนินการฝึกอย่างเคร่งครัด เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง พระทั้ง ๔ รูป มิได้ปริปากพูดอะไรเลย เนื่องจากมันเป็น “การฝึกสมาธิเงียบ” จึงไม่มีใครเอ่ยปากพูดเลยสักรูปเดียว  ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา
แต่น้ำมันในตะเกียงน้อยลงทุกที ดูท่าจะแห้งไปในไม่ช้า พระรูปที่รับผิดชอบดูแลตะเกียง เห็นเช่นนั้นก็ร้อนใจ ในตอนนี้เอง ก็มีลมโชยมากระโชกหนึ่ง  ไฟในตะเกียงก็ถูกพัดจนริบหรี่ลง เกือบจะดับมิดับแหล่
พระรูปที่ดูแลตะเกียงอดรนทนไม่ไหว ตะโกนขึ้นว่า “แย่แล้ว  ตะเกียงดับแล้ว”
พระอื่น ๆ อีก ๓ รูป เดิมทีก็นั่งหลับตาขัดสมาธิ ไม่มีใครพูดอะไรเลย เมื่อได้ยินพระรูปนั้นตะโกนเสียงหลงดังนั้น  พระรูปที่นั่งถัดไปก็ลืมตาขึ้นพร้อมกับตำหนิว่า “ร้องเอะอะไปทำไม เรากำลังฝึกสมาธิเงียบอยู่มิใช่หรือ ร้องแรกแหกกระเชอไปได้ เสียสมาธิหมด” พระรูปที่นั่งถัดไปอีกรูปหนึ่งได้ยินเข้าก็บันดาลโทสะ เอ็ดพระรูปที่เอ๋ยปากตำหนิว่า “คุณก็ส่งเสียงเอะอะอยู่เหมือนกันไม่ใช่หรือแย่จริง ๆ”
ส่วนพระอีกรูปหนึ่งซึ่งมีอาวุโสสูงกว่าเพื่อน นั่งเงียบอยู่ตลอดเวลาที่พระ ๓ รูปส่งเสียงเอะอะกันอยู่ แต่ผ่านไปสักครู่ พระรูปนั้นก็ลืมตามองพระทั้ง ๓ รูป ด้วยความภูมิใจว่า “มีแต่ผมเท่านั้นที่ไม่ได้พูด”
พระ ๔ รูป ซึ่งฝึกสมาธิเงียบในแบบเซนกันอยู่ ต่างก็เอ่ยปากพูดกันหมดเพราะเรื่องตะเกียงดวงเดียว  ที่น่าหัวร่อก็คือ พระอาวุโส ๓ รูป ในขณะที่ตำหนิคนอื่นว่าส่งเสียงพูดจาให้เสียสมาธินั้น ล้วนแต่ก็ไม่รู้ตัวว่า ตนก็กระทำผิดที่ “เอ่ยปากพูด” เหมือนกัน

ขอขอบคุณ หนังสือปรัชญาของผู้สู้ชีวิต กว้อไท่ เขียน  บุญศักดิ์ แสงระวี แปล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น